เคล็ดลับการจัดการคุณภาพข้าวหลังการเก็บเกี่ยว สไตล์ OASIS
การใส่ใจในทุกขั้นตอนการผลิตข้าว ตั้งแต่การปลูกจนถึงการเก็บเกี่ยว ถือเป็นหัวใจสำคัญของการทำนา แต่สิ่งหนึ่งที่เกษตรกรหลายคนอาจมองข้ามไป ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพและราคาของผลผลิต นั่นก็คือ “การจัดการคุณภาพข้าวหลังการเก็บเกี่ยว” วันนี้ OASIS จะมาเผยเคล็ดลับดีๆ ที่จะช่วยให้เกษตรกรสามารถรักษาคุณภาพข้าวให้ดีที่สุด เพื่อผลผลิตที่ดีเยี่ยมและสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค


ทำไมต้องจัดการคุณภาพข้าวหลังการเก็บเกี่ยว?
เหตุผลหลักที่เกษตรกรผู้ผลิตข้าวอินทรีย์ OASIS ให้ความสำคัญกับการจัดการคุณภาพข้าวหลังการเก็บเกี่ยว ก็เพราะนี่คือปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะส่งผลต่อคุณภาพของผลผลิตและราคาจำหน่าย การละเลยในขั้นตอนนี้อาจทำให้ข้าวเปลือกเสียราคาจากการซื้อขายได้ ดังนั้น การมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
ระยะเวลาที่เหมาะสมในการเก็บเกี่ยว
การเก็บเกี่ยวข้าวในระยะเวลาที่เหมาะสม หรือที่เรียกกันว่า “ระยะพลับพลึง” เป็นช่วงที่รวงข้าวเริ่มเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหลืองเหมือนน้ำตาล สังเกตได้จากครึ่งหนึ่งของเมล็ดในรวงข้าวจะเริ่มเป็นสีเหลืองใส โดยช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดคือ หลังจากข้าวออกดอกแล้วประมาณ 28-30 วัน หรือเมื่อข้าวออกดอกแล้ว 80% ซึ่งในระยะนี้ข้าวเปลือกจะมีความชื้นประมาณ 20-25%
ข้อควรจำ: การเก็บเกี่ยวข้าวในระยะพลับพลึงหรือเมื่อข้าวเปลือกมีความชื้น 20-25% จะส่งผลต่อคุณภาพข้าวที่ดีและเปอร์เซ็นต์ข้าวต้นดีที่สุด
ข้อควรระวัง! ความชื้นที่ไม่เหมาะสมสำหรับข้าวเปลือก OASIS
ความชื้นถือเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่ง และความชื้นที่ไม่เหมาะสมจะส่งผลเสียต่อคุณภาพข้าวโดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความชื้นที่ต่ำกว่า 11%
- การเก็บรักษาข้าวเปลือก: ควรเก็บรักษาในที่ที่แห้งและเย็น ป้องกันความเสียหายจากสัตว์ แสงแดด และช่วยควบคุมอุณหภูมิและความชื้นที่ส่งผลต่อคุณภาพข้าว
- ความเสี่ยงจากความชื้นต่ำ: การเก็บข้าวเปลือกที่ความชื้นต่ำกว่า 11% ซึ่งเป็นระดับที่เหมาะสมต่อการสี จะทำให้เมล็ดแห้งและเปราะเกินไป ส่งผลให้เมื่อนำไปสีจะเกิดการแตกหักได้ง่าย
- ผลกระทบระยะยาว: การเก็บข้าวเปลือกในสภาพที่มีความชื้นต่ำกว่า 11% แม้จะป้องกันเชื้อราและแมลงได้ดี แต่ก็มีความเสี่ยงที่เมล็ดจะตายด้าน ทำให้คุณภาพการหุงต้มลดลง และเมื่อนำเมล็ดไปแช่เพื่อเตรียมปลูกในฤดูกาลถัดไป ก็อาจทำให้น้ำหนักลดลง คุณภาพชีวิตและสีของเมล็ดก็จะเปลี่ยนไป
ขั้นตอนการลดความชื้น (การตาก)
- ตากข้าวบนลานตาก: ควรตากบนผ้าใบหรือผ้ายาง (ผ้าแยง)
- ความหนา: ควรเกลี่ยข้าวให้มีความหนาไม่เกิน 2-4 เซนติเมตร
- การกลับข้าว: ควรเกลี่ยกลับกองข้าวทุกๆ 30 นาทีต่อครั้ง
- ป้องกันความชื้นย้อนกลับ: ในช่วงกลางคืน ควรใช้วัสดุคลุมกองข้าวเพื่อป้องกันความชื้นจากน้ำค้างหรือฝน
- ความชื้นที่เหมาะสม: ความชื้นที่เหมาะสมที่สุดในการเก็บรักษาคือ 11%
การทำความสะอาดเมล็ดข้าว
หลังจากเก็บเกี่ยวหรือตากข้าวแล้ว ควรทำความสะอาดเมล็ดข้าวเพื่อกำจัดสิ่งเจือปนต่างๆ เช่น เศษฟาง, ดิน, ทราย หรือวัชพืช เพื่อให้ได้เมล็ดข้าวที่สะอาดและมีคุณภาพดีที่สุด ซึ่งจะช่วยให้การเก็บรักษามีประสิทธิภาพและไม่ส่งผลเสียต่อคุณภาพของเมล็ดพันธุ์ การทำความสะอาดอาจทำได้โดยการใช้ตะแกรงร่อนหรือเครื่องเป่าลม ซึ่งจะช่วยคัดแยกสิ่งเจือปนออกไป ทำให้ได้เมล็ดข้าวที่สมบูรณ์และส่งผลดีต่อคุณภาพและราคาในที่สุด
ความสำคัญของการจัดการคุณภาพข้าวหลังการเก็บเกี่ยว
ทุกๆ การสูญเสียคุณภาพข้าวที่ดีคือการสูญเสียกำไรจากการผลิตของเกษตรกร โดยทั่วไปแล้วการจัดการก่อนและหลังการเก็บเกี่ยวที่ไม่ถูกต้องอาจทำให้เกิดการสูญเสียทางกายภาพของผลผลิตประมาณ 5-10% แต่หากเกษตรกรจัดการไม่ดีหรือไม่ใส่ใจในเรื่องนี้ อาจส่งผลให้เกิดการสูญเสียมูลค่าของผลผลิตได้สูงถึง 50% เลยทีเดียว
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการจัดการคุณภาพข้าวหลังการเก็บเกี่ยวจึงเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยยกระดับคุณภาพผลผลิตของเกษตรกรได้อย่างยั่งยืน