10 ข้อห้าม และข้อควรปฏิบัติสู่การทำเกษตรอินทรีย์อย่างยั่งยืน
ปัจจุบันกระแสการใส่ใจสุขภาพกำลังเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย ส่งผลให้ผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับที่มาและคุณภาพของอาหารมากขึ้น “เกษตรอินทรีย์” จึงกลายเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้คนในยุคนี้ บทความนี้จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับ 10 ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการทำเกษตรอินทรีย์ให้ประสบความสำเร็จและยั่งยืน

1. ห้ามใช้ปุ๋ยเคมีสังเคราะห์ หัวใจสำคัญของการทำเกษตรอินทรีย์คือการงดใช้ปุ๋ยเคมีสังเคราะห์โดยเด็ดขาด รวมถึงปุ๋ยเคมีที่ผสมในดินปลูกหรือแม้แต่ในวัสดุเพาะกล้า เพื่อหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนของสารเคมีที่อาจส่งผลเสียต่อดินและผลผลิตในระยะยาว
2. ห้ามใช้สารกำจัดศัตรูพืชใดๆ งดการใช้สารเคมีสังเคราะห์ทุกชนิดในการกำจัดศัตรูพืช ไม่ว่าจะเป็นยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า หรือฮอร์โมนสังเคราะห์ต่างๆ เพราะสารเคมีเหล่านี้จะตกค้างอยู่ในผลผลิตและทำลายสมดุลของระบบนิเวศในระยะยาว
3. สร้างความหลากหลายทางชีวภาพ หัวใจสำคัญอีกประการหนึ่งคือการปลูกพืชหมุนเวียนและพืชหลากหลายชนิด เพื่อสร้างความสมดุลให้กับระบบนิเวศ ช่วยลดการระบาดของโรคและแมลงศัตรูพืช ทั้งยังเป็นการบำรุงดินไปในตัวด้วยการปลูกพืชตระกูลถั่วเพื่อเพิ่มธาตุอาหารในดิน
4. ใช้ให้เมล็ดพันธุ์อินทรีย์ เลือกใช้เมล็ดพันธุ์อินทรีย์ที่ได้จากการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์เท่านั้น หรือเลือกใช้เมล็ดพันธุ์จากฟาร์มหรือกลุ่มเกษตรกรอินทรีย์ที่เชื่อถือได้ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าผลผลิตที่ได้จะปลอดภัยจากสารเคมีอย่างแท้จริง
5. ป้องกันการปนเปื้อน เกษตรกรต้องให้ความสำคัญกับการป้องกันการปนเปื้อนของสารเคมีจากแปลงเกษตรข้างเคียง โดยอาจสร้างแนวกันชน เช่น การปลูกพืชยืนต้นเป็นแนวรั้ว เพื่อป้องกันการฟุ้งกระจายของสารเคมี
6. ห้ามการปลูกพืชคู่ขนาน (อินทรีย์ vs เคมี) ไม่อนุญาตให้ปลูกพืชชนิดเดียวกันทั้งในรูปแบบเกษตรอินทรีย์และเกษตรเคมีในพื้นที่เดียวกันหรือใกล้เคียงกัน เพื่อป้องกันการปนเปื้อนข้ามแปลง และสร้างความสับสนให้กับผู้บริโภค
7. ต้องผ่านระยะเวลาปรับเปลี่ยน สำหรับเกษตรกรที่ต้องการเปลี่ยนผ่านจากเกษตรเคมีมาสู่เกษตรอินทรีย์ จะต้องผ่านช่วงระยะเวลาปรับเปลี่ยนเพื่อให้ดินและระบบนิเวศฟื้นตัว โดยมีระยะเวลาอย่างน้อย 12-24 เดือนก่อนการปลูกพืชอินทรีย์
8. แยกผลผลิตและแสดงฉลาก เกษตรกรต้องแยกผลผลิตอินทรีย์ออกจากผลผลิตเคมีอย่างชัดเจนในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเก็บเกี่ยว การบรรจุ ไปจนถึงการขนส่ง เพื่อป้องกันการปนเปื้อน และต้องมีการแสดงฉลากที่ชัดเจนเพื่อให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้
9. ทำบันทึกและจัดเก็บเอกสาร การทำบันทึกข้อมูลการทำเกษตรอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อเป็นหลักฐานและใช้ในการตรวจสอบย้อนกลับของกระบวนการผลิตทั้งหมด ตั้งแต่การเตรียมดิน การเพาะปลูก ไปจนถึงการเก็บเกี่ยวและการจำหน่าย
10. มีความเข้าใจและให้ความร่วมมือ เกษตรกรต้องมีความเข้าใจในหลักการและข้อกำหนดของเกษตรอินทรีย์อย่างถ่องแท้ และพร้อมให้ความร่วมมือในการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค