แซนโฎนตา เป็นภาษาเขมร โดยคำว่า “แซน” หมายถึง การเซ่น การเซ่นไหว้ การบวงสรวงส่วนคำว่า “โฎนตา” หมายถึง การทำบุญให้ปู่ย่า ตายาย หรือบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ประเพณีแซนโฎนตาจึงหมายถึง ประเพณีการเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษที่นับได้ว่าเป็นประเพณีสำคัญที่คนไทยเชื้อสายเขมรมีการสืบทอดกันมาเป็นระยะเวลานาน ประเพณีแซนโฏนตา นอกจากจะเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผีบรรพบุรุษ ปู่ย่า ตายาย พ่อแม่แล้ว จุดมุ่งหมายรองของการออกกุศโลบายของบรรพบุรุษ คือการแสดงถึงความกตัญญูกตเวทีของลูกหลานที่แสดงต่อผู้มีพระคุณที่ล่วงลับไปแล้ว และเพื่อให้ลูกหลานญาติมิตรจะได้มารู้จักกัน สร้างความสามัคคี สร้างสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เป็นที่พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
บายเบ็ณฑ์หรือบายบัดตระโบร เป็นหนึ่งในเครื่องเซ่นไหว้ที่สำคัญของประเพณีนี้และเป็นส่วนสำคัญกับชาวนาในจังหวัดสุรินทร์และพี่น้องเกษตรกรที่เป็นสมาชิก OASIS ในพิธีกรรมพระสงฆ์จะเอาด้ายสายสิญจน์ล้อม“กระเชอโฎนตา”และ “บายเบ็ณฑ์หรือบายบัดตระโบร” สิ่งของทั้งหมดจุดธูปทำพิธีสวดเรียกวิญญาณผู้ล่วงลับมาฟังธรรม เสร็จพิธีสงฆ์จะนำบายเบ็ณฑ์หรือบายบัดตระโบรไปหว่านในไร่นาถือเป็นพิธีกรรมสำหรับความเป็นสิริมงคล ความอุดมสมบูรณ์และเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้กับผีในไร่นา
บายเบ็ณฑ์ วิถีข้าวแห่งศรัทธาแซนโฎนตา
ประเพณี “แซนโฎนตา” คือการบูชาบรรพบุรุษ ซึ่งเป็นพิธีกรรมที่ชื่อมีความหมายชัดเจนในตัวเอง “แซน” แปลว่า “เซ่น” หรือการเซ่นไหว้ และ “โฎนตา” หมายถึงบรรพบุรุษ ปู่ย่า ตายาย นี่คือการแสดงความกตัญญูต่อผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว และยังเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับวิถีชีวิตเกษตรกรรมและวัฒนธรรมข้าว
ความเชื่อและศรัทธา: 15 วันที่ประตูยมโลกเปิด
ความเชื่อของชาวอีสานใต้ระบุว่า ในช่วงเวลา 15 วัน นับตั้งแต่ “สารทเล็ก” ไปจนถึง “สารทใหญ่” ประตูยมโลกจะถูกเปิดออก ในช่วงเวลานี้ ดวงวิญญาณของบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วจะได้รับอนุญาตให้กลับมาสู่โลกมนุษย์ เพื่อมารับส่วนบุญส่วนกุศลที่ลูกหลานอุทิศให้
พิธีกรรมนี้จึงมีจุดประสงค์สำคัญสองประการ:
- แซนโฎนตา: การทำบุญและเซ่นไหว้ให้กับบรรพบุรุษผู้ล่วงลับ
- จูนโฎนตา: การแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อญาติผู้ใหญ่ที่ยังมีชีวิตอยู่
การเตรียมพิธี: เมื่อข้าวคือหัวใจของเครื่องเซ่น
วันประกอบพิธีแซนโฎนตาที่สำคัญคือ “วันแรม 14 ค่ำ เดือน 10” ซึ่งถือเป็นวันเซ่นไหว้หลัก หรือที่ในทางพุทธศาสนาเรียกว่า “เปตพลี” คือการสละอุทิศให้ผู้ที่จากไป การเตรียมงานอาจใช้เวลาถึงสองวัน โดยในวันแรม 14 ค่ำ จะมีการเซ่นไหว้ตั้งแต่เช้ามืด และเตรียมตัวไปวัดในวันรุ่งขึ้น
เครื่องเซ่นไหว้จะประกอบด้วยของคาวและของหวาน เช่น ปลาที่นำมาปรุงสุก แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้และเป็นหัวใจสำคัญของประเพณีนี้คือ “ข้าวต้ม” ซึ่งในอีสานใต้จะหมายถึงข้าวต้มที่ห่อด้วยใบมะพร้าว รวมถึงขนมอื่น ๆ ที่ทำจากข้าว เช่น ขนมเทียน
ช่วงเวลานี้ยังสอดคล้องกับวิถีเกษตรกรรม เพราะเป็นช่วงที่ชาวนาว่างเว้นจากการทำนา เนื่องจากข้าวในนากำลังตั้งท้อง จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมในการทำบุญอุทิศกุศล
“กระเชอโฎนตา” และ “บายเบ็ญ”: จากวัดสู่ผืนนา
นอกจากการเซ่นไหว้ที่บ้านแล้ว ยังมีสองพิธีกรรมสำคัญที่เชื่อมโยงชุมชนและผืนนาเข้าด้วยกัน
1. กระเชอโฎนตา: ตะกร้าแห่งความอุดมสมบูรณ์
ในช่วงค่ำ หลังจากเซ่นไหว้ที่บ้านแล้ว ชาวบ้านจะนำ “กระเชอโฎนตา” หรือตะกร้าบรรพบุรุษไปรวมกันที่วัด ในกระเชอจะบรรจุข้าวของเครื่องใช้ ข้าวสาร เผือก มัน เครื่องอุปโภคบริโภค และที่สำคัญคือ ต้นกล้วยและต้นอ้อย
การใส่ต้นกล้วยและต้นอ้อยเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ สะท้อนภูมิปัญญาเกษตรที่ว่า “ที่ไหนมีต้นกล้วยเกิด…แปลว่าดินตรงนั้นน่ะ มันอุดมสมบูรณ์” เมื่อถึงวัด พระสงฆ์จะประกอบพิธีและสวด “สวดเบ็ญ” หรือสวดในวันสารทเพื่ออุทิศบุญ
2. บายเบ็ญ: ข้าวปั้นศักดิ์สิทธิ์เพื่อสิริมงคล
“บายเบ็ญ” เป็นส่วนหนึ่งของพิธีแซนโฎนตาที่เริ่มทำในวันแรม 14 ค่ำ เช่นกัน
- การเตรียม: นำข้าวที่หุงสุก (ข้าวเจ้าหรือข้าวเหนียวก็ได้) มาผสมกับน้ำตาล งา และมะพร้าวอ่อน
- การปั้น: ปั้นเป็นก้อนกลมเล็ก ๆ แล้วจัดเรียงบนพานหรือขันให้เป็นทรงสูงคล้ายพีระมิด จากนั้นใช้กรวยใบตองครอบไว้ และปักธูปด้านบน
- ที่วัด: เมื่อนำไปวัด พระจะสวดและฉัน “บายเบ็ญ” บางส่วน ส่วนที่เหลือจะกลายเป็นของมงคลให้ลูกหลานนำกลับบ้าน
- ที่บ้าน: “บายเบ็ญ” ที่นำกลับมาจะถูกเก็บไว้ในบ้าน 3-4 วัน จนกระทั่งก้อนข้าวเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียว หรือเกิดเชื้อรา
- สู่ผืนนา: เมื่อครบกำหนด ชาวนาจะนำก้อนข้าว “บายเบ็ญ” นั้นไปยังทุ่งนาของตน คุกเข่าอธิษฐาน ขอพรให้ข้าวที่กำลังตั้งท้อง (ช่วงเดือนกันยายน) มีความอุดมสมบูรณ์ ขอให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น และขอให้ครอบครัว “มีข้าวเต็มนา มีปลาเต็มทุ่ง” จากนั้นจึงโยนก้อนข้าวให้ทั่วแปลงนา เป็นอันเสร็จพิธี
ภูมิปัญญาโบราณ: “บายเบ็ญ” กับเชื้อรา “ไตรโคเดอร์มา”
ในยุคปัจจุบัน มีข้อสังเกตที่น่าสนใจจากชาวนาเกษตรอินทรีย์ “เชื้อราสีเขียว” ที่เกิดขึ้นบนก้อนข้าวบายเบ็ญหลังจากเก็บไว้ 3-4 วันนั้น มีลักษณะคล้ายกับ “ไตรโคเดอร์มา” (Trichoderma) ซึ่งเป็น “เชื้อราดี” ที่ใช้ในห้องปฏิบัติการและส่งเสริมให้เกษตรกรใช้ในการทำเกษตรอินทรีย์
นี่จึงเกิดเป็นข้อสันนิษฐานว่า คนโบราณเมื่อหลายพันปีก่อนอาจค้นพบประโยชน์ของเชื้อรานี้ และผสานภูมิปัญญานี้เข้ากับพิธีกรรมบายเบ็ญ เพื่อนำสิ่งที่เป็นมงคลและเป็นประโยชน์กลับคืนสู่ผืนนา
สานต่อประเพณี: เพื่อความสบายใจและอนาคตของลูกหลาน
แม้ในทางพุทธแท้ การปฏิบัติอาจมุ่งเน้นไปที่การพ้นทุกข์ในวัฏสงสาร แต่พิธีกรรมเหล่านี้ช่วยให้ผู้คน “พ้นทุกข์บนโลกบนนี้” สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เมื่อได้ทำแล้วก็เกิดความ “สบายใจ” และ “มีความสุข”
“แซนโฎนตา” ไม่สามารถแยกออกจาก “ข้าว” ซึ่งเป็นอาหารหลักของทุกคนในชุมชนได้ ประเพณีนี้ส่งผลโดยตรงต่อการประกอบอาชีพและการดำเนินชีวิต ในปัจจุบัน แม้ประเพณีนี้จะเริ่มเลือนหายไปในบางพื้นที่ แต่ผู้คนยังคงต้องการสืบสานวัฒนธรรมโบราณนี้ไว้ เพื่อให้ลูกหลานได้สืบทอดพิธีกรรม และเพื่อระลึกถึงบรรพบุรุษผู้เป็นรากเหง้าของพวกเขาต่อไป

 
		